ถึงเขาจะไม่มีมือ สวัสดีทุกคนชื่อเคลลี่อายุ 21 ปีเหมือนว่าทุกคนที่มันเล่าเรื่องของตัวเองที่เนี่ยมันจะบอกทันทีว่าเรื่อง เกี่ยวกับอะไร แต่ฉันก็ไม่ทำแบบนั้นฉันจะเล่าทุกอย่างให้ฟังไปทีละขั้นว่าไปแล้วนี่อะไรนะชีวิตคุณไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิด
อะไรขึ้นและคุณก็ได้แต่หวังว่าคุณจะทำมันได้อย่างดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้หรือว่าเลือกทางที่ถูกต้อง ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อฉันอายุ 17 พ่อแม่กับฉันพากันไปที่รีสอร์ทสกีที่เมาพูดเอาไปที่นั่นทุกปีในวันหยุดคริสต์มาสเป็น
ธรรมเนียมของครอบครัวเราแม่ไม่ชอบเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดเธอก็เลยใช้เวลาทั้งวันที่รีสอร์ทบนเก้าอี้ผ้าใบแต่งตัวอบอุ่นพร้อมกับถือหนังสือในมือข้างนึงแล้วก็กาแฟร้อนอีกถ้วยส่วนพ่อกับฉันเนี่ยเราเป็นแฟนตัวยงเลยก็มัก
จะเล่นสกีกันทุกวันจนกว่าจะหยุดทำงานเพราะฉันไม่รู้ว่าไปกินอะไรเข้าในมื้อเย็นแล้วก็วันต่อมาเขาก็จำเป็นต้องอยู่ในรีสอร์ท ฉันจะไปที่ภูเขาคนเดียววันนี้เป็นวันที่ดีมากก็อารมณ์ของฉันกับคุณมัวและตะกี้ก็ดูเหมือนกันน่ะ
พิเศษคุณเคยสังเกตไหมว่าเวลาคุณอารมณ์ไม่ดีเนี่ยเรื่องน่ารำคาญใจบางอย่างมันก็มักจะเกิดขึ้นเสมออย่างในวันนี้ซึ่งฉันไม่ได้สังเกตเห็นแผ่นน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าเลยฉันลื่นแต่ก่อนที่จะลงไปชั้นเซลล์โบกมือไปมาทั้งที่ยัง
ถืออยู่แบบนั้นหลายวินาทีแหละส่วนขาก็ยังอยู่ในรองเท้าสกีฉันพยายามยื้อชีวิตเพื่อส่งตัวนี้คงเรียกว่าการหกคะเมนแห่งศตวรรษเลยก็ว่าได้ฉันล้มก้นจ้ำเบ้าไปเลยแล้วก็เห็นว่ามีผู้ชายคนหนึ่งยืนมองอยู่ฉันโกรธจริงๆอาจจะ
เป็นเพราะว่าตอนนี้เขากำลังยิ้มแต่อันที่จริงแล้วเขาดูน่าสนใจมากๆเลยนะตั้งแต่แรกที่เห็นคุณรู้ไหมว่าคนที่มีดวงตาสีฟ้ามันจะให้พวกเขามีความเป็นประกายอีกนะเหลือเชื่อและเมื่ออยู่ท่ามกลางหิมะและแสงอาทิตย์แบบนั้น
แต่ยังไงซะนั่นมันก็อีกเรื่องนึงเพราะตอนนี้ฉันหิวมากๆบอกเลยมองอะไรนักหนาไม่เคยเห็นคนคอกลมหรือไงยื่นมือมาหน่อยสิฉันเพิ่มประโยคสุดท้ายเพราะฉันรู้ว่าการลุกขึ้นจากน้ำแข็งมันไม่ง่ายและฉันก็ไม่อยากจะลงค่ำ
ลงไปอีก ใบหน้าของเขาเขาเดินไปเราอาจจะดูเขินถ้าเป็นไปได้สักที่ข้อสอบถามเล่นๆนะเขาพูดแล้วก็ยื่นแขนที่น่าแปลกๆมาฉันยังมีเวลาคิดว่าอะไรกันเพราะฉันสังเกตเห็นว่าเขาสวมถุงมือที่ดูแปลกๆมันเรียบๆดำๆเอา
พระเจ้าพ่อหนุ่มตาฟ้าเนี่ยใส่แขนเทียมเหรอเนี่ยฉันไม่น่าพูดแบบนั้นเลยอ่ะฉันอยากจริงใจแล้วก็เสริมว่าขอโทษนะฉันไม่รู้จริงๆและพยายามลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขาจากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างร่าเริงอีก
ครั้งที่เห็นว่าฉันเกือบจะลดลงไปอีก อย่างน้อยก็ให้ผมได้ช่วยถือสกีของคุณแล้วกัน คุณอยากไปดื่มกาแฟด้วยกันสักหน่อยไหมครับ และนี่คือการที่ฉันได้พบกับเซฟเข้าอายุรุ่นเดียวกับฉันอาศัยอยู่ที่พอร์ตแลนด์เหมือนฉัน
เพียงแต่ฉันอยู่ทางตะวันออกส่วนเขาอยู่ทางตะวันตกเขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองอย่างเรียบง่ายในขณะที่เราดื่มกาแฟกันแล้วก็ฟังฉันเล่าเรื่องของตัวเองยังสนใจแต่ไม่นานฉันก็นึกขึ้นมาได้ว่าฉันต้องการฟังเรื่องของเขา
มากกว่าไม่ใช่เพราะความที่เขาแปลกพูดตามตรงนะฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นด้วยซ้ำแต่ก็ยังไม่ถึงกับลืมไปซะสนิทนะฉันหยุดคิดเรื่องเกี่ยวกับแขนเทียมของเขาเรามองว่าเขาก็เป็นผู้ชายธรรมดาคนนึงยังไงก็ตามฉันก็ถามเขา
ว่ามันเกิดอะไรขึ้นแบบว่าผมกลายเป็นคุณทรายบอกได้ยังไงหรอเขาถามด้วยรอยยิ้มมาหาพี่ก่อนผมไปช่วยคุณปู่ซ่อมอุปกรณ์การเกษตรในความกุหลาบแต่มันก็เกิดควบคุมสถานการณ์ไม่ได้มันเป็นความผิดพลาดที่งี่เง่า
มากเพราะตอนนั้นน่ะผมอายุแค่ 12 ส่วนคุณปู่ก็เกือบ 90 และเป็นเด็กกับคนแก่นะพูดตามตรงฉันประทับใจมากที่จะพูดถึงอาการบาดเจ็บของเขาแบบไม่มีอาการซึมเศร้าเลยยังไงก็ตามตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าความเปลี่ยนแปลง
ของเขามันมาจากตรงไหนฉันไม่รู้ว่าเขาต้องเสียอะไรไปบ้าง ก็เห็นได้ชัดว่าการสูญเสียที่น่ากลัวนี้ไม่ได้ปิดกั้นเขาจัดการใช้ชีวิตแบบสมบูรณ์ได้เลยค่อยเข้าไปเล่นสกีเขาฝึกเทควันโดแล้วจากท่าทางของเขาเวลาจากแก้ว
กาแฟขึ้นดื่มเนี่ยมันดูเป็นธรรมชาติแสดงให้เห็นว่าเขามั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันแค่ไหนรักเขาก็ไม่จำเป็นต้องตัดเล็บแล้วก็ไม่ต้องหนาวจนมือแข็งของเขานะไม่ใช่ฉันจากนั้นพวกเราก็ใช้เวลาที่เหลือของวันหยุดพักผ่อน
ด้วยกันแล้วพบกันหลายครั้งบนเนินเขาแล้วไปดูหนังในตอนเย็นเล่นเกมแล้วก็คุยๆกันมากมายเลยแล้วเมื่อถึงเวลาที่ฉันต้องกลับบ้านฉันก็รู้ทันทีว่าฉันเข้าใจผู้ชายคนนี้แค่ไหนแล้วคุณรู้ไหมว่าเขาพูดกับฉันว่าไงตอนที่เรา
บอกลากันผมขอเจอคุณในเมืองอีกได้ไหมผมคิดว่าผมรักคุณเข้าแล้วดังนั้นเราจึงได้ออกเดทแต่ก็ไม่ได้บ่อยนะเราอยู่กันคนละฝั่งของเมืองแห่งดอกกุหลาบแห่งนี้แถมแล้วก็ยุ่งๆกับเรื่องเรียนด้วยแต่สุดสัปดาห์ก็เป็นเวลา
ของเราจะพูดไงดีล่ะฉันคิดว่าฉันมีความสุขอ่ะแต่มันไม่ได้สู้ไปซะทั้งหมดปัญหาคือพ่อแม่ของฉันแน่นอนที่รีสอร์ทพวกเขาสนใจในผู้ชายคนที่ลูกสาวคนเดียวของเขาเนี่ยใช้เวลาด้วยพวกเขาจะเจ็บแล้วก็ได้พูดคุยกันหลาย
ครั้งการตั้งเวลาผ่านไปฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงไม่กล้าบอกพวกเขาว่าไม่มีมือไม่ใช่ว่าฉันคิดว่ามันไม่สำคัญนะแต่ลึกลึกแล้วเนี่ยฉันมีลางสังหรณ์ว่ามันต้องเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเขาแน่ๆและเมื่อเราออกไปพบกันในเมือง
บ่อยขึ้นเรื่อยๆฉันก็รู้สึกว่าถึงเวลาที่ต้องแนะนำเขาให้กับพ่อแม่ของฉันอย่างเป็นทางการสักทีฉันก็เลยตัดสินใจทำการเปลี่ยนสถานะการล่วงหน้าแล้วฉันก็บอกพวกเขาเกี่ยวกับความพิเศษของเจฟฉันไม่ได้คาดหวังอะไรเป็น
พิเศษและฉันอยากจะคาดเดาปฏิกิริยาของพวกเขาพอของฉันพูดว่าเจ้าแล้วก็ส่ายหัวไปมาส่วนแม่ของฉันเธอแสดงออกอย่างชัดเจนมากเขาเป็นคนพิการงั้นหรอแครี่ลูกบ้าไปแล้วหรือเปล่าใช่ตอนนั้นเถียงพ่อแม่ใหญ่เลย
ฉันคุยกับพวกเขาเป็นเวลานานแล้วก็เกือบจะตะโกนใส่พวกเขาแล้วว่าพวกเขาว่าผิดปกติแล้วจากนั้นก็กระแทกประตูเดินจากไปแต่เจ็บกับฉันได้เจอกันแค่ในสุดสัปดาห์เท่านั้นในขณะที่ทั้งสัปดาห์ที่เหลือฉันต้องอยู่พ่อแม่
เราก็ไม่เคยมีวันไหนเลยที่พวกเขาไม่พูดอ้อมๆเกี่ยวโยงกับเรื่องการตัดสินใจผิดพลาดของฉันที่มันเลือกคบกับคนพิการ